หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โลกาภิวัตน์กับความพอเพียง

                                                           โลกาภิวัตน์กับความพอเพียง
                                                                                       
                    ในยุคบริโภคนิยมและการสื่อสารไร้พรมแดน คำว่า “ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง” หากให้หลับตานึกภาพ ความพอเพียงเปรียบไปก็คงเหมือนเปลวเทียนกลางกระแสลมแห่งโลกาภิวัฒน์ ที่กระหน่ำและโหมซัดสังคมไทย จนเหลือแค่แสงสว่างอันริบหรี่ที่รอวันดับมอดลงในที่สุด      
ท่ามกลางกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ เยาวชนหนุ่มสาวต่างพากันลุ่มหลงไปกับสื่อเทคโนโลยีอันทันสมัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ อุปกรณ์ไฮเทคหรือโปรแกรมอินเทอร์เน็ตแปลกใหม่  ที่เย้ายวนความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงออกทางเพศในลักษณะที่ไม่เหมาะสม  หรือการได้สนิทสนมรู้จักกับเพื่อนหรือคนรักในโลกไซเบอร์ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักหน้าตาหรือตัวตนจริงๆ เลย ซึ่งการลุ่มหลงในเรื่องอันไร้สาระและแก่นสารของชีวิตเช่นนี้ หากเยาวชนซึมซับพฤติกรรมอย่างนี้เป็นประจำ นานวันเข้าจะนำไปสู่การมีทัศนคติ ความเชื่อ หรือค่านิยมในทางที่ผิด  จนอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมด้านต่างๆ อีกมากมาย กรณีตัวอย่างที่เป็นข่าวโด่งดังไปพักใหญ่ คือข่าวเกี่ยวกับเยาวชนนักศึกษาหลายคนต่างพากันไปเล่นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ซึ่งผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดโดยขาดจรรยาบรรณและจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ดาวน์โหลดโปรแกรม “แคมฟลอกซ์” (Cam Frog)ให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการ กระทำการโชว์ลามกอนาจารให้ผู้ใช้บริการรายอื่นๆ รับชม ซึ่งเป็น การกระทำที่ผิดตามกฎหมายอาญา ผู้แสดงต้องได้รับโทษทั้งการปรับและจำคุก กระทรวงวัฒนธรรมโดยศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ได้ติดตามพฤติกรรมนี้มาพักหนึ่งในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงทั้งหมดแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมาย และประกอบกับการได้รับความร่วมมือด้วยดีจากเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ตที่คิดดีและทำดี ได้ให้เบาะแส และรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม จนทำให้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขในที่สุด  ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม  ขอขอบคุณและแสดงความชื่นชมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความร่วมมือทุกท่าน ทุกหน่วยงานมา ณ โอกาสนี้            
หากจะกล่าวไปแล้ว ปัญหาสังคมที่กอดคอกันมากับเทคโนโลยีอันทันสมัยนั้น ส่วนหนึ่ง เป็นปัญหาที่หน่วยงานซึ่งรับผิดชอบสามารถป้องกันหรือแก้ไขได้ แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับกันว่า เรื่องเหล่านั้นคือสัญญาณบ่งบอกถึงความอ่อนแอทางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศ  ที่น่าวิตกเมื่อเยาวชนคนหนุ่มสาวอันเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติ กลับตกเป็นเป้านิ่งรอวันร่วงหล่นและล่มสลายอันเกิดจากการเสพย์เทคโนโลยี และบริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างไร้สติ  ขาดการยั้งคิดและนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฟังดูอาจน่ากลัวแต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น วัยรุ่นและหนุ่มสาวในสังคมไทยยุคนี้ ส่วนใหญ่มักสับสนและหลงลืมข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองไป เพราะกระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่จะชี้นำพวกเขาให้เดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็นนั้น ได้ค่อยๆถูกฆ่าตัดตอนและชี้นำโดยกระแสบริโภคนิยมแห่งโลกาภิวัฒน์ จนแทบยากต่อการเยียวยา
              อย่างไรก็ตามหากจะกล่าวอย่างเป็นธรรมและตรงไปตรงมา กระแสบริโภคนิยม เทคโนโลยีและการสื่อสารอันไร้พรมแดนมิใช่เรื่องเลวร้ายเสียทั้งหมด  หากพิจารณากันอย่างจริงจัง จะพบว่ามันกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ประโยชน์ของมันมีมากมายมหาศาล ซึ่งหากเราใช้เป็นและบริโภคด้วยความมีสติรู้เท่าทัน ผลกระทบในด้านลบของมันก็แทบจะไม่มีความหมาย การฝืนต้านและปฏิเสธจึงไม่น่าจะใช่ทางออกที่เหมาะสม  ดังนั้นการรู้จักเลือกสรรรับข้อมูลข่าวสาร เลือกบริโภคสินค้าและเทคโนโลยีโดยใช้แนวคิดความพอเพียง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดอีกทางเลือกหนึ่ง
เยาวชนควรจะได้รับการปลูกฝังแนวคิดความพอเพียงให้เข้าใจอย่างจริงจังต่อเนื่อง จนสามารถใช้เหตุผลในการแยกแยะเพื่อเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์ บริโภคสินค้าและเทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน เหมาะสมกับความต้องการ กำลังเงิน สภาพแวดล้อม ในจำนวนที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และการบริโภคนั้นต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ปลูกฝังและสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านกระบวนการคิดโดยการใช้เหตุผล กระตุ้นให้มีการฝึกคิดอย่างเป็นระบบ จนสามารถเตรียมตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้านต่างๆ ได้อย่างเข้าใจและปรับใช้การเปลี่ยนแปลงนั้นให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ให้มากที่สุด  จนสามารถมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันและรับผลกระทบในด้านลบที่อาจเกิดขึ้นได้
แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เยาวชนซึ่งตกอยู่ในกระแสเชี่ยวกรากของ เทคโนโลยีล่อตาล่อใจ และคอยแต่จะเชิญชวนให้บริโภคอย่างไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัด เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิดและพฤติกรรมในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะในการปรับกระบวนการคิดการใช้เหตุผล ซึ่งล้วนเป็นเรื่องนามธรรมที่ต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ซึมซับ วิเคราะห์ และกว่าจะถึงขั้นที่สามารถสังเคราะห์มาใช้ได้ในชีวิตจริง จนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันที่ถาวรยั่งยืนนั้น จะต้องใช้เวลาในการปลูกฝังที่ยาวนาน
สถาบันที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สถานศึกษา สื่อ และองค์กรอื่นๆทั้งภาครัฐและเอกชนล้วนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง ในการที่จะดูแลประคับประคองเทียนแห่งความพอเพียง ไม่ให้ดับวูบไปจนไม่เหลือแสงสว่างใดนำทาง  ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องร่วมมือร่วมใจกันระดมสรรพกำลังในการหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและจริงใจเสียที
ปัจจุบันสมรภูมิสงครามล่าอาณานิคมกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ  โลกใบนี้คงเหลือสมรภูมิเดียวที่ยังดำเนินต่อไปคือสมรภูมิแห่งการ “ขาย” ในสงคราม “แย่งชิงลูกค้า” ขายทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อทุกอย่างที่ใจต้องการ ชนะขาดคำเดียวคือยึดครอง “ลูกค้า” ให้มากที่สุดและทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมนั้นให้สิ้นซาก ไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง  แล้วสร้างวัฒนธรรมใหม่ เป็นวัฒนธรรมแห่ง “การบริโภคที่ไร้พรมแดน” ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คิดว่าเป็นสงครามแท้จริงซึ่งน่ากลัวที่สุด เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการสูญเสียดินแดนเพียงอย่างเดียว  “หากแต่สูญเสียสิ้น ซึ่งตัวตนและจิตวิญญาณ”    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น